วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประเทศโครเอเชีย

โครเอเชีย


               ประเทศโครเอเชีย หรือ สาธารณรัฐโครเอเชีย (Republic of Croatia) เป็นประเทศรูปเสี้ยววงเดือนในยุโรปที่มีอาณาเขตจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยุโรปกลาง และบอลข่าน เมืองหลวงชื่อซาเกร็บ ในประวัติศาสตร์ปัจจุบัน โครเอเชียเคยเป็นสาธารณรัฐในยูโกสลาเวียเดิม แต่ได้รับเอกราชในพ.ศ. 2534 และได้สมัครเพื่อเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในอนาคต

ลักษณะภูมิประเทศ
                 โครเอเชียตั้งอยู่ระหว่างภูมิภาคยุโรปกลาง ภูมิภาคยุโรปใต้ และภูมิภาคยุโรปตะวันออก รูปร่างของประเทศคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวหรือเกือกม้า ซึ่งช่วยให้สามารถติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ได้แก่ สโลวีเนีย ฮังการี เซอร์เบีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกร และอิตาลี (อีกฟากหนึ่งของทะเลเอเดรียติก) โดยแผ่นดินใหญ่ของโครเอเชียถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนไม่ติดต่อกันโดยชายฝั่งทะเลสั้น ๆ ของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา รอบ ๆ เมืองเนอุม (Neum)

                     ภูมิประเทศของโครเอเชียมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่
  • ที่ราบ ทะเลสาบ และเนินเขา ทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ (ภูมิภาคเซนทรัลโครเอเชียและสลาโวเนีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบแพนโนเนีย)
  • ภูเขาที่มีป่าไม้หนาแน่นในภูมิภาคลีคาและกอร์สกีคอตาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาดินาริกแอลป์
  • ชายฝั่งทะเลเอเดรียติกที่เต็มไปด้วยโขดหิน (ภูมิภาคอิสเตรีย นอร์เทิร์นซีโคสต์ และดัลเมเชีย)
ประวัติศาสตร์โดยสังเขป



                   ชาวโครอัทอพยพมาจากทางเหนือของยุโรป ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 และอยู่ภายใต้อาณาจักรไบแซนไทน์จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9 จากนั้นตั้งตนเป็นรัฐอิสระ จนกระทั่งถูกผนวกอยู่ภายใต้อาณาจักรออสโตร-ฮังการีในปี 1645 จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1
               หลังจากอาณาจักรออสโตร-ฮังการีล่มสลายลงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาวเซิร์บ โครอัท และสโลวีน ได้ร่วมกันสถาปนารัฐอิสระขึ้นในเดือนตุลาคม 2461 และในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน รัฐอิสระดังกล่าวได้รวมกับอาณาจักรเซอร์เบีย กลายเป็นอาณาจักรเซิร์บ โครอัท และสโลวีน และในปี 2472 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นยูโกสลาเวีย
                 ในปี 2484 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพนาซีเยอรมันได้บุกเข้ายึดครองดินแดนบางส่วนของยูโกสลาเวีย และตั้งรัฐอิสระ “Greater Croatia” พร้อมทั้งจัดตั้งรัฐบาลหุ่นภายใต้การนำของนาย Ante Pavelic ซึ่งได้สังหารชาวเซิร์บ ยิว และยิปซี เป็นจำนวนหลายแสนคน ในขณะที่กองทัพอิตาลีได้บุกเข้ายึดดินแดน Istria และพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเล
                    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ได้มีการจัดตั้งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียในปี 2488 โดยรวม 6 สาธารณรัฐและมณฑลอิสระปกครองตนเอง 2 มณฑล ได้แก่ เซอร์เบีย โครเอเชีย สโลวีเนีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวินา มอนเตเนโกร มาซิโดเนีย และมณฑลโคโซโวและวอยโวดินา ภายใต้การนำของจอมพลติโต (Marshall Josip Broz Tito) ชาวโครอัท ซึ่งปกครองประเทศตามระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ จอมพลติโตสามารถควบคุมสถานการณ์ความแตกแยกระหว่างเชื้อชาติไว้ได้ระดับหนึ่ง ด้วยการยกให้ชาวเซิร์บ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย มีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม มากกว่าเชื้อชาติอื่นๆ การแก้ไขปัญหาดังกล่าว ถึงแม้จะสร้างความเป็นเอกภาพให้แก่ยูโกสลาเวีย แต่ความแตกแยกโดยพื้นฐานของประเทศยังคงมีอยู่ ดังนั้น เมื่อจอมพลติโตถึงแก่อสัญกรรมในปี 2523 กระบวนการสู้รบแบ่งแยกดินแดนจึงเริ่มรุนแรงขึ้น
                 ภายหลังจากที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคยุโรปตะวันออกได้ล่มสลายลงในปี 2532 ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชของสาธารณรัฐต่างๆ ในยูโกสลาเวียเริ่มก่อตัวขึ้น โครเอเชียได้จัดการเลือกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2533 และประธานาธิบดี Franjo Tudjman ได้รับเลือกตั้ง ต่อมา ในวันที่ 25 มิถุนายน 2534 โครเอเชียและสโลวีเนียได้ประกาศเอกราชจากสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย
                 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปได้ให้การรับรองเอกราชสาธารณรัฐโครเอเชีย และสโลวีเนีย เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2535 และบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2535 เป็นผลให้หลายประเทศในยุโรปให้การรับรองประเทศดังกล่าวในเวลาต่อมา และเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2535 สหรัฐฯ ได้ให้การรับรองสโลวีเนีย โครเอเชีย และบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา สำหรับไทยเป็นประเทศอาเซียนประเทศแรกที่ให้การรับรองโครเอเชียและสโลวีเนีย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2535

ตัวอย่างสถาปัตยกรรม

                             มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen's Cathedral)


                มียอดแหลมทรงกลวยคู่บนยอดวิหารตกแต่งอย่างงดงาม สามารถเห็นได้จากทุกมุมในซาเกรบ แต่เดิมเป็นโบสถ์ธรรมดา แต่เริ่มมีความสำคัญในปี ค.ศ. 1094
             เมื่อกษัตริย์ ลาดีสลาอุส (King Ladislaus) ได้ให้พระราชาคณะย้ายที่พำนักจากสีสัก (Sisak) มายังซาเกรบ แต่ก็ถูกกองทัพมองโกลทำลายในปี ค.ศ. 1242 เมื่อมองโกล จากไป โบสถ์นี้ก็ได้รับการซ่อมแซมใหม่ และ ขยับขยาย ในอีกหลายครั้งต่อมา รูปร่างมหาวิหารที่งดงามในรูปแบบนิโอ กอธิคที่เห็นในปัจจุบัน เป็นการก่อสร้างในปี ค.ศ. 1880

                                โบสถ์เซนต์แคทเทอรีน


               เป็นโบสถ์รูปแบบบาโรคสีขาวที่น่าประทับใจ

                               โรงละครแห่งชาติโครเอเชีย (Croatian National Theatre)


                โรงละครแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าของเมืองซาเกร็บ โดยสร้างขึ้นในปี 1895 โดยรูปแบบของอาคารนั้นสร้างขึ้นในสไตล์นีโอบาร็อค มีลักษณะเป็นรูปตัว U และรายรอบไปด้วยสวนสาธารณะจนได้รับสมญานามว่า “The Green Horse shoe”

                                มหาวิหารเซนต์จาคอป (Cathedral of St.Jacob)


                     สร้างขึ้นในระหว่างปี 1431-1535 เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานกันระหว่าง 3 ศิลปกรรม คือ ดาลมาเชีย (ท้องถิ่น) ศิลปะทางเหนือของอิตาลี และ ทัสคานี ทั้งวิหารล้วนสร้างด้วยหินทั้งหมด ไม่มีซีเมนต์ บัวใต้ชายคาเป็นรูปศีรษะคน 71 ชิ้น ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะโกธิกและเรอเนซองส์ ซึ่งผสมผสานเข้ากันได้อย่างงดงาม แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านงานศิลปะจากยุคโกธิก สู่ยุคเรอเนซองส์ ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2000 

สถานที่ท่องเที่ยว
                              อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิตวิเซ (Plitvice Lakes National Park)



                    ความงามที่พิสุทธิ์ใสของ อุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิตวิเซ (Plitvice Lakes National Park) ถือเป็นความงามที่นักเดินทางหลายคนต่างก็พูดถึงไม่เคยคลายในทุกสมัย ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้เกิดจากน้ำบนภูเขา มาลาคาเปลา (Mala Kapela) ไหลผ่านหินปูนนับเป็นพัน ๆ ปี จึงทำให้หินปูนที่ถูกกัดเซาะไหลลงมากองรวมกันเป็นระยะ ๆ เกิดเป็นเขื่อนธรรมชาติที่งามแปลกตา ทั้งยังมีความสูงลดหลั่นกันลงไปถึง 16 ชั้น ซึ่งก็ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้มีน้ำตกถึง 16 แห่ง เป็นต้นธารก่อนที่จะไหลไปรวมกันเป็นทะเลสาบใหญ่เบื้องล่าง 
                 ความงามของที่นี่อีกอย่าง ก็คือราวป่าที่อยู่รายล้อมซึ่งอุดมไปด้วยต้นไม้เขตอบอุ่นหลากสายพันธุ์ ด้วยความที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แปลกตาทั้งยังมีความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ องค์การยูเนสโกจึงได้รับเอาไว้เป็น มรดกโลกทางธรรมชาติตั้งแต่ปี ค.ศ.1979

                                   เมืองดูบรอฟนิก (Dubrovnik)


                    ด้วยภูมิประเทศที่เรียบเลาะไปกับชายทะเล ขณะที่ส่วนที่เป็นแผ่นดินก็เป็นเนินเขาสูงต่ำสลับกันไปรวมถึงอาคารบ้านเรือนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายต่างก็ต้องมนต์สะกดของเมืองดูบรอฟนิก (Dubrovnik) ที่สำคัญยังทำให้เมืองงามแห่งนี้ ครองฉายาว่าเป็น “ไข่มุกแห่งทะเลอะเดรียติก” เมืองดูบรอฟนิกตั้งอยู่ทางตอนใต้ของโครเอเชียชื่อเสียงที่เลื่องลือที่สุดของเมืองนี้ก็ต้องยกให้เรื่องการทำฟาร์มเลี้ยงหอยนางรม หอยแมลงภู่ ริมทะเลอะเดรียติก ดังนั้น เมื่อมาเยือนดูบรอฟนิกหากไม่ได้ลิ้มลองรสชาติอันโชะของหอยนางรมและหอยแมลงภู่ตัวโตๆ แกล้มไวน์ขาวรสเยี่ยมแล้วละก็บอกได้คำเดียวว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง
                    ในขณะที่ย่านเมืองเก่าของดูบรอฟนิกก็น่าไปเยี่ยมชมไม่น้อย เขตเมืองเก่าแห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกหลายสถานที่ไม่ว่าจะเป็น บ่อน้ำพุประจำเมือง (Onofrio Fountain) ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุที่ใช้หล่อเลี้ยงผู้คนในยามศึกสงครามเรื่อยมา จนถึงหอนาฬิกากลางเมืองที่ตั้งอยู่ ณ ส่วนปลายสุดของถนนสายหลัก ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1444 ความพิเศษของนาฬิกาเรือนนี้ก็คือลูกกลม ๆ ใต้หน้าปัดซึ่งแทนพระจันทร์ใช้บอกเวลาข้างขึ้นข้างแรมในทางจันทรคติ เล่ากันว่าภายในย่านเมืองเก่าแห่งนี้ถือเป็นเขตชุมชนแรกที่บรรพบุรุษชาวดูบรอฟนิกมาสร้างบ้านเมืองในศตวรรษที่ 7

                                   เมืองสปติต (Split)



                 เมืองใหญ่อันดับที่ 2 รองจากกรุงชาเกร็บ ถือเป็นอีกหนึ่งปลายทางของนักเดินทาง หลายคนที่ได้ไปเยือนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเธองามดั่งสวรรค์บนดิน ในครั้งโบราณนั้น สปลิตถือเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์และศูนย์กลางทางการเมือง รวมถึงยังเป็นแหล่งบ่มเพาะอารยธรรมศิลป์ของแคว้นดัลเมเชียน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมืองแห่งนี้จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งแรก ๆ ของโลก 
                 สิ่งที่ควรชมในเมืองสปลิตคือ พระราชวังดิโอคลีเทียน (Diocletian Palace) ที่สถาปนาขึ้นจากพระประสงค์ของจักรพรรดิดิโอคลีเทียน เล่ากันว่าใช้เวลาในการก่อสร้างยาวนานถึง 50 ปี ที่โดดเด่นที่สุดก็คือท้องพระโรงกลางอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตรงเสาโค้งมนที่แต่งด้วยช่อดอกไม้สลักจากหินอันอ่อนช้อยสิ่งสะท้อนความงดงามของพระราชวังดิโอคลีเทียนก็คือกวีชาวโครเอเชียในทุกยุคต่างก็ได้สรรเสริญความงามของสถานที่แห่งนี้ไว้ในงานประพันธ์ของตัวเองแทบทั้งสิ้น


อาหาร
                   อาหารพื้นเมืองของชาวโครแอตไม่ต่างจากอาหารแบบยุโรปโดยทั่วไป ในกรุงชาเกร็บมีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือร้านกาแฟในสไตล์ Side-Walk Cafe ที่เน้นการเสพบรรยากาศดี ๆ เคล้ากาแฟรสละมุนลิ้น ส่วนเมนูอร่อยที่ควรชิมก็คือไส้กรอก Spek  และ Kulen ซึ่งเป็นอาหารเฉพาะถิ่น ในขณะที่ขนมหวานขึ้นชื่อของโครเอเชียก็คือคุกกี้รูปหัวใจเคลือบน้ำตาลสีแดงที่มีรสชาติหวานมันลงตัวในขณะที่ขนมหวานขึ้นชื่อของโครเอเชียก็คือคุกกี้รูปหัวใจเคลือบน้ำตาลสีแดงที่มีรสชาติหวานมันลงตัว



ตัวอย่างของที่ระลึก





แหล่งอ้างอิง :
http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศโครเอเชีย
http://www.abroad-tour.com/croatia/st.stephen_cathedral/
http://travel.kapook.com/view17485.html
http://board.trekkingthai.com/board/show.php?forum_id=2&topic_no=270954&topic_id=274751
http://www.jidapaenter.com/ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศโครเอเชีย
http://www.ilovetogo.com/โครเอเชีย-ตระการตา-"อุทยานมรดกโลก"


                                                                       สมาชิกในกลุ่ม
           1.นางสาวพิริยา       ดัดพันธ์         เลขทะเบียน 520108010245  คณะ IT  สาขา BIT
         2.นางสาวพนิดา       ใจกล้า          เลขทะเบียน 520108010256  คณะ IT  สาขา BIT
      3.นางสาวนงลักษณ์  พันธ์ประสิทธิ์  เลขทะเบียน 520108010275  คณะ IT  สาขา BIT
วิชา ศิลปวัฒนธรรมตะวันตกเพื่อการนำเที่ยว (HT325) กลุ่มเรียนที่ 512

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น